Articles
กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหา ภาวะวิกฤตแม่สุกรป่วยก่อนคลอด ลูกสุกรแรกคลอดท้องเสียและตายก่อนหย่านมจำนวนมาก
Knowledge ความรู้ทั่วไปในบทความนี้จะเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในฟาร์มลูกค้าแห่งหนึ่งในปี 2566 เพื่อเป็นกรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาในฟาร์มลูกค้า โดยจะนำเสนอตั้งแต่การสืบค้นและวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา รายละเอียดขั้นตอนการแก้ไขและป้องกัน (total solution) และผลการแก้ไข ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับท่านใช้เป็นแนวทางในการจัดการปัญหาที่มีลักษณะคล้ายกันในโอกาสต่อไป
อ่านเนื้อหาสรุป แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะวิกฤต แม่สุกรป่วยก่อนคลอด แบบ Total Solution ได้ที่ https://bit.ly/3UdqAs0
ประวัติของฝูงและประสิทธิภาพการผลิต
ฟาร์มสุกรแม่พันธุ์แห่งนี้เป็นโรงเรือนแบบปิด (โรงเรือนอี-แว็ป) ผลิตลูกสุกรหย่านมเพื่อจำหน่าย และบางส่วนนำไปเลี้ยงเองที่ฟาร์มสุกรอนุบาลที่อยู่คนละพื้นที่กัน ใช้น้ำบาดาลที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนเป็นน้ำกินสำหรับสุกร ฟาร์มมีประสิทธิภาพการผลิตในหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี โดยมีอัตราคลอดประมาณ 90.0-92.0 เปอร์เซนต์ ลูกมีชีวิตเฉลี่ย 12.8-13.0 ตัวต่อครอก ลูกหย่านมเฉลี่ย 12.2-12.5 ตัวต่อครอก อัตราการตายก่อนหย่านม 4-5 เปอร์เซนต์ และลูกหย่านมต่อแม่ต่อปีประมาณ 28-30 ตัว
ปัญหาที่เกิดขึ้นในฟาร์มและการจัดการของฟาร์ม
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ฟาร์มมีแม่สุกร 1,856 ตัว ซึ่งจำนวนแม่สุกรดังกล่าวยังไม่เต็มฝูง (2,400 ตัว) ในปี 2566 ฟาร์มได้เร่งขยายฝูงโดยการซื้อสุกรสาวบางส่วนจากภายนอกและสุกรสาวที่ผลิตเอง (จากเล้าเลี้ยงสุกรพันธุ์) เข้าทดแทนในฟาร์ม โดยบางเดือนฟาร์มนำสุกรสาวเข้าเลี้ยงในยูนิตสุกรสาวทดแทน (เล้าปรับสภาพสุกรสาว และเล้าซองยืนสุกรสาว) มากถึง 200 ตัวต่อเดือน (จากปกติ 80-100 ตัวต่อเดือน) ซึ่งสุกรสาวจำนวนดังกล่าวมีมากกว่าพื้นที่ของเล้าปรับสภาพสุกรสาวที่จะรับเข้าเลี้ยงได้ ทำให้สุกรสาวที่เกินจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งถูกนำ (by pass) เข้าเลี้ยงในเล้าซองยืนสุกรสาว โดยไม่ผ่านการคลุกกับแม่คัดทิ้งในเล้าปรับสภาพสุกรสาว ตามขั้นตอนปกติของฟาร์ม (รูปที่ 1)
รูปที่ 1 การจัดการสุกรสาวตามขั้นตอนปกติของฟาร์ม
และเมื่อสุกรสาวดังกล่าวถูกนำเข้าเลี้ยงในเล้าผสม-อุ้มท้อง ปัญหาต่างๆ จึงได้เกิดขึ้นตามมา โดยเรียงลำดับการเกิดปัญหาในฟาร์ม ดังนี้
- เริ่มจากสุกรสาวที่นำเข้าเล้าผสม-อุ้มท้อง แสดงอาการป่วยทางเดินหายใจและตายจำนวนมาก โดยพบอาการป่วยทั้งก่อนผสมและช่วงอุ้มท้อง
- ต่อมาพบแม่สุกรอุ้มท้องป่วยอาการทางเดินหายใจ และตายมากกว่าปกติ
- สุกรสาวและแม่สุกรอุ้มท้องที่ย้ายเข้ายืนซองรอคลอดป่วยเพิ่มมากขึ้น และเต้านมแม่รอคลอดจำนวนมากเหี่ยว และนมไม่ลงเต้า
- จากข้อ 1-3 สุกรสาวและแม่สุกรตายเพิ่มขึ้นจากปกติ 3-4 เปอร์เซนต์ เป็น 8-10 เปอร์เซนต์
- ต่อมาพบลูกกรอกเพิ่มขึ้นจากปกติ 2-3 เปอร์เซนต์ เป็น 6-7 เปอร์เซนต์
- หลังจากนั้นจะพบลูกสุกรในเล้าคลอดถ่ายเหลว ท้องเสียจำนวนมาก โดยพบว่า ลูกของแม่สาวท้องแรกจะถ่ายเหลว ท้องเสียทุกครอก (ลูกสุกรทั้งจากแม่สาวท้องแรกและแม่สุกรจะเริ่มแสดงอาการถ่ายเหลวตั้งแต่วันแรกหลังคลอด) บางเล้าพบลูกสุกรถ่ายเหลว ท้องเสียมากถึง 80 เปอร์เซนต์ของจำนวนครอก ลูกสุกรแสดงอาการขาดน้ำ ตาลึก ผอมโซม นอนหมดแรง และบางตัวขึ้นไปนอนบนตัวแม่
- ลูกสุกรที่ถ่ายเหลว ท้องเสียในช่วง 10 วันแรกหลังคลอดบางส่วนตาย และเมื่อลูกสุกรที่รอดถึงอายุ 10 วันจะหายป่วยเป็นปกติ กินอาหารเก่ง(ลูกสุกรที่อายุเกิน 10 วันจะไม่ท้องเสีย)
- ลูกตายก่อนหย่านมเพิ่มขึ้นจากปกติ 4-5 เปอร์เซนต์ เป็น 10-11 เปอร์เซนต์
การสืบค้นวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและการเก็บตัวอย่างส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
ผู้เขียนได้ประชุมทีมงานฟาร์ม (เจ้าของ ผู้จัดการ และสัตวบาลฟาร์ม) เพื่อร่วมกันสืบค้นวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา กำหนดมาตรการและแนวทางการแก้ไข เดินฟาร์มพร้อมเจ้าของและผู้จัดการฟาร์ม เก็บตัวอย่างเลือดและอวัยวะภายในของสุกรสาว แม่สุกรที่ป่วยและตาย ส่งตรวจห้องปฏิบัติการ พบว่า เลือดสุกรสาวให้ผลบวกต่อเชื้อเซอร์โคไวรัส (PCV2-PCR) ตั้งแต่อายุ 16 สัปดาห์ (เล้าเลี้ยงสุกรพันธุ์) และที่อายุ 28 สัปดาห์ (เล้าซองยืนสุกรสาว) และผลการตรวจอวัยวะภายในของสุกรสาวและแม่สุกรที่ตาย พบเชื้อพลาสเจอเรลล่า (P.multocida) ในปอด ต่อมน้ำเหลือง และหัวใจ และพบเชื้ออี.โคไล ในม้าม และเก็บตัวอย่างน้ำกินในเล้าคลอดและลำไส้ลูกสุกรที่ท้องเสียส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อคลอสทริเดียม (C.perfringens) ทั้งในน้ำกินเล้าคลอดและลำไส้ลูกสุกรที่ท้องเสียร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม ได้ตรวจลำไส้ลูกสุกรที่ท้องเสียหาสาเหตุจากโรคอื่นๆ ผลการตรวจไม่พบเชื้อท้องร่วงติดต่อในสุกร : พีอีดี (PED) และทีจีอี (TGE) ไม่พบเชื้อโรทาไวรัส (Rotavirus) และไม่พบเชื้อบิด (Isospora suis)
รายละเอียดมาตรการ ขั้นตอนการแก้ไขและป้องกัน
- ให้หยุดขบวนการทำคลอดทุกอย่าง (หยุดตัดเขี้ยว ตัดหาง ฉีดธาตุเหล็ก ปั๊มยากันบิด ตอนไข่ และฉีดยาปฏิชีวนะ) ในเล้าที่ลูกสุกรกำลังท้องเสียอย่างหนักและจำนวนมาก (มีเล้าคลอด 2-3 หลัง ที่ลูกสุกรอายุ 1-10 วัน ท้องเสีย 30-80 %) เพื่อไม่ให้มีใครเข้าไปในซองคลอด ป้องกันเชื้อแพร่กระจายไปพร้อมกับคน (รองเท้าบูท เสื้อ กางเกง มือ เข็ม และเครื่องมือ) จากซองคลอดหนึ่งไปสู่อีกซองคลอดหนึ่งในโรงเรือนเดียวกัน และจากโรงเรือนหนึ่งไปสู่อีกโรงเรือนหนึ่ง (traffic control)
- จัดแบ่งหน้าที่ทีมทำคลอดใหม่ (ไม่ได้ทำคลอดแล้ว) ให้ไปทำหน้าที่อื่นๆ ฟาร์มมีทีมทำคลอด 3 คน เดิมช่วยกันทำคลอดลูกสุกรพร้อมกันทั้ง 3 คนในแต่ละหลัง จัดทีมใหม่โดยให้ทีมทำคลอด 2 คนไปช่วยคนเฝ้าคลอด (ฟาร์มมีคนเฝ้าคลอดช่วงกลางวัน 1 คน และช่วงกลางคืน 1 คน) ในเล้าที่แม่กำลังคลอดลูกจำนวนมาก (ช่วยเช็ดตัวลูกที่คลอดออกมา คลุกผงโรยตัวลูกสุกรให้ตัวแห้งเร็วขึ้น ผูกและตัดสายสะดือ จับลูกสุกรเข้ากล่องกก ให้ตัวแห้ง และจับลูกเข้าหาเต้านม) และทีมทำคลอดอีก 1 คน ไปช่วยคนเฝ้าคลอดในเล้าที่แม่กำลังเริ่มคลอดลูก
- ห้ามสัตวบาลทำงานข้ามเล้า (เดิมสัตวบาลจะเดินเข้าทุกเล้า) ให้ทำงานอยู่เล้าหนึ่งเล้าใดในแต่ละวัน
- ปรับเพิ่มโปรแกรมการฉีดยาปฏิชีวนะในสุกรสาวและแม่รอคลอด ปกติสุกรสาวและแม่รอคลอดจะได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะอะม็อกซีซิลลิน ชนิดออกฤทธิ์นาน (Amoxicillin LA) ก่อนคลอด 1 วัน ให้เพิ่มการฉีดยาปฏิชีวนะเซฟติโอเฟอร์ ( Ceftiofur ) ในสุกรสาวและแม่รอคลอดทุกตัว เนื่องจากสุกรสาวและแม่รอคลอดแสดงอาการป่วยค่อนข้างมาก (อาการที่เห็น คือ บางตัวแสดงอาการหอบไอด้วยช่องท้อง ไม่กินอาหารและหรือกินอาหารลดลง 50 เปอร์เซนต์ นอนซมไม่ลุกขึ้นยืน ผอม ตัวซีดเหลือง)
- ลดความชื้นในเล้า เพื่อให้ภายในเล้าและในซองคลอดแห้งมากที่สุด
- ให้หยุดล้างเล้าที่แม่สุกรกำลังคลอดลูกและเล้าที่ลูกสุกรกำลังถ่ายเหลว ท้องเสีย (ลูกสุกรแรกคลอดถึง 10 วัน) ทั้งล้างพื้นทางเดิน ล้างตัวแม่ และล้างรางอาหารแม่ (ใช้ฟองน้ำเช็ดรางอาหารแทน)
- ให้ใช้ฟองน้ำชุบยาฆ่าเชื้อเบตาดีนหรือเดทตอล เช็ดทำความสะอาดบริเวณก้น อวัยวะเพศ เต้านม พื้นคอกที่มีคราบเลือด น้ำคาวปลา แทนการล้าง
- ใช้ผงโรยตัวลูกสุกรโรยพื้นคอกเพื่อให้พื้นคอกแห้ง
- ลดความชื้นในเล้า โดยปรับตั้งเวลาการพรมน้ำคูลลิ่งแพดใหม่ ลดระยะเวลาการพรมน้ำคูลลิ่งแพด และเพิ่มการระบายอากาศด้วยพัดลมเพิ่มขึ้น ทั้ง การเปิดประตูเล้าด้านคูลลิ่งแพดในช่วงเช้าและเย็นเพื่อให้ลมเข้าเล้ามากขึ้น ตรึงสายพานพัดลมและเปลี่ยนสายพานพัดลมใหม่ อย่างไรก็ตาม การลดระยะเวลาการพรมน้ำคูลลิ่งแพด ได้กำชับสัตวบาลระวังไม่ให้อุณหภูมิในเล้าคลอดสูงเกิน 28-29 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้แม่สุกรหอบ ซ้ำเติมปัญหาแม่สุกรป่วยและลูกสุกรท้องเสียได้
- ให้เล้าผสม-อุ้มท้อง เสริมวิตามินเกลือแร่ รวมถึงยาปฏิชีวนะชนิดผง ให้กับแม่สุกรอุ้มท้องอายุ 14-15 สัปดาห์ (ก่อนย้ายขึ้นมายืนซองรอคลอด) โดยการตักวิตามินเกลือแร่ และยาปฏิชีวนะชนิดผง เททับไปบนอาหารก่อนที่จะโยกให้แม่สุกรอุ้มท้องกินวันละ 1 ครั้ง
- ให้วิตามินและเกลือแร่แก่ลูกสุกร เนื่องจากลูกสุกรที่ท้องเสียจะสูญเสียเกลือแร่ออกจากร่างกายมาก ทำให้ลูกสุกรตายจากการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ วิธีการให้วิตามินเกลือแร่ คือ การกรอกปากลูกสุกร การเทวิตามินเกลือแร่ในถาดน้ำเพื่อให้ลูกสุกรได้กินตลอดเวลา
- แม่สุกรอุ้มท้องแก่ก่อนที่จะย้ายขึ้นไปยืนซองรอคลอด ให้ฉีดวิตามิน เช่น วิตามินบีรวม เพื่อกระตุ้นการกินอาหารเมื่อแม่สุกรขึ้นไปอยู่บนเล้าคลอด
- ให้สัตวบาลพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์วงกว้างได้ทั้งโรคทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธุ์และรักษาเต้านมอักเสบ ให้กับแม่สุกรที่แสดงอาการป่วยทั้งก่อนและหลังคลอด เช่น ยาปฏิชีวนะอ๊อกซีเตตร้าซัยคลิน ชนิดออกฤทธิ์นาน (ชื่อการค้าคือ Oxytetra L.A.20 %® ; BP) โดยปรับเปลี่ยนหรือสลับการใช้กับยาปฏิชีวนะตามข้อ 4
- ให้เพิ่มโปรแกรมการฉีดวัคซีนเชอร์โคไวรัส (PCV2) ในยูนิตสุกรสาวทดแทน จากเดิมที่ฉีดเฉพาะสุกรสาวอายุ 16 สัปดาห์(ในเล้าเลี้ยงสุกรพันธุ์)
สรุป
เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในฟาร์มลูกค้าแห่งนี้ เป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่การเตรียมสุกรสาวทดแทน ดังนั้นมาตรการการแก้ไขและป้องกันปัญหาของฟาร์ม จึงต้องเริ่มตั้งแต่สุกรสาว ทั้งอัตราการทดแทนที่เหมาะสม ทดแทนอย่างสม่ำเสมอ และไม่ทดแทนมากเกินไปจนเกิดปัญหาไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ทั้งหมด (การคลุกสุกรสาวด้วยแม่สุกรคัดทิ้ง) เพื่อให้สุกรสาวมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในฝูง รวมถึงป้องกันไม่ให้สุกรสาวที่เข้าไปในฝูงเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับแม่สุกร (main shedders of respiratory pathogen, www.pig333.com)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้เข้าเดินฟาร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามแก้ไขและทำงานร่วมกับเจ้าของ ผู้จัดการฟาร์ม และสัตวบาลที่เกี่ยวข้อง ภายในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ปัญหาสุกรสาว แม่สุกรป่วยและตาย รวมถึงปัญหาลูกสุกรเล้าคลอดถ่ายเหลว ท้องเสีย และตายก่อนหย่านมจำนวนมาก เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดฟาร์มมีอัตราการป่วยและตายของสุกรสาว แม่สุกร และลูกสุกร กลับเข้าสู่ภาวะปกติ (เข้าแก้ไขปัญหา 3 ก.ย.66 เหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติต้นเดือน ต.ค.66)