ตุลาคม 15, 2024

โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease)

Knowledge ความรู้ทั่วไป

โรคปากและเท้าเปื่อยเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิด O, A, และ Asia 1 ซึ่งการแพร่เชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อสัตว์อยู่ใกล้ชิดกันหรือใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ร่วมกัน โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำนมและเนื้อสัตว์ เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตของสัตว์ลดลง และอาจก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

โรคปากและเท้าเปื่อยสามารถเกิดขึ้นกับสัตว์กีบคู่ทุกชนิด ได้แก่ วัว ควาย แพะ แกะ และหมู เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสัตว์เหล่านี้ การติดเชื้อทำให้เกิดแผลพุพองและการอักเสบที่บริเวณปากและเท้า ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์มีอาการเจ็บปวดและกินอาหารได้น้อยลง

วิธีสังเกตอาการของวัวที่เป็นโรคปากและเท้าเปื่อย

สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและสุขภาพของสัตว์ ได้แก่

  • น้ำลายไหล : สัตว์ที่ติดเชื้อจะมีน้ำลายไหลออกมามากผิดปกติ เนื่องจากมีแผลในช่องปาก ทำให้สัตว์มีอาการเจ็บและไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ตามปกติ
  • แผลพุพองที่ลิ้น เหงือก และเพดานปาก : เชื้อไวรัสทำให้เกิดแผลที่บริเวณต่างๆ ในช่องปาก ซึ่งทำให้สัตว์มีอาการเจ็บปวด
  • กินอาหารน้อยลง : เนื่องจากความเจ็บปวดจากแผลในช่องปาก สัตว์จึงกินอาหารน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักลด
  • แผลพุพองที่ไรกีบและร่องกีบ : แผลพุพองเหล่านี้อาจทำให้สัตว์มีอาการอักเสบและเจ็บปวด
  • ไรกีบบวมแดง : การอักเสบที่บริเวณรอบๆ ไรกีบอาจทำให้เห็นบริเวณที่บวมแดง ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • เดินขากะเผลก : เนื่องจากแผลที่ไรและร่องกีบทำให้สัตว์รู้สึกเจ็บปวดขณะเดิน จึงเกิดอาการกะเผลก
  • แผลพุพองที่หัวนม : สำหรับสัตว์ที่เป็นแม่พันธุ์ อาจมีแผลพุพองที่บริเวณหัวนม ซึ่งส่งผลให้การผลิตน้ำนมลดลง และอาจทำให้ลูกสัตว์ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
  • ผลผลิตน้ำนมลดลง : การติดเชื้อทำให้สุขภาพโดยรวมของสัตว์แย่ลง ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณน้ำนมที่ผลิตได้ลดลงอย่างมาก
  • อาการอื่นๆ : เช่น มีไข้ น้ำหนักลดลง หรือเกิดการแท้งในแม่สัตว์ตั้งท้อง ซึ่งเป็นอาการที่แสดงถึงการติดเชื้อในระดับรุนแรง

การรักษาโรคปากและเท้าเปื่อย

จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน ดังนี้

  • การทำความสะอาดแผล : ทำความสะอาดแผลที่เกิดขึ้นโดยใช้ยาฆ่าเชื้อสำหรับแผลภายนอก เช่น โพวิโดนไอโอดีน หรือเจนเชี่ยนไวโอเลต ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย
  • การให้ยา : ในกรณีที่สัตว์มีอาการแทรกซ้อน เช่น มีไข้ หอบ หายใจแรง หรือไม่กินอาหาร ควรพิจารณาให้ยาฉีดเพื่อลดอาการ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ ยาที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาต้านการอักเสบ ยาลดปวด ลดไข้ และยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

การควบคุมและป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย

มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดและทำลายสุขภาพสัตว์ในฟาร์ม การควบคุมโรคนี้สามารถทำได้ผ่านการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และการฉีดวัคซีน

  • การรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)
    • การป้องกันการแพร่กระจายของโรคต้องเริ่มจากการควบคุมการเคลื่อนย้ายของสัตว์
    • งดการนำเข้าสัตว์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา เพื่อลดความเสี่ยงในการนำเชื้อเข้าสู่ฟาร์ม
    • พักกักโรคสัตว์เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนนำเข้าสู่ฟาร์ม เพื่อเฝ้าดูอาการที่อาจแสดงถึงการติดเชื้อ
    • จำกัดการเข้าออกของยานพาหนะและบุคคลภายในฟาร์ม โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการระบาด
    • ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบริเวณโรงเรือน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันระดับฝูงด้วยวัคซีน : การฉีดวัคซีนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย โดยการฉีดวัคซีนตามระยะเวลาที่เหมาะสมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับฝูงสัตว์
    • ฉีดเข็มแรกเมื่อสัตว์มีอายุ 4 เดือน
    • ฉีดเข็มที่ 2 เมื่อสัตว์มีอายุ 5 เดือน
    • การกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนซ้ำทุกๆ 3-4 เดือน เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้เพียงพอต่อการป้องกันเชื้อไวรัส

การเฝ้าระวังและการป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะการป้องกันที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์จากสัตว์